Compulsory Licensing ฤาประเทศไทยจะดิ่งลงเหว?
กลุ่มนักเรียนไทยในบอสตันเพิ่งจะได้มีโอกาสเสวนากันเรื่องสิทธิบัตรยาและการทำ compulsory licensing (CL) ความเห็นที่ออกมาก็ค่อนข้างหลากหลาย แต่ทุกคนคิดเหมือนกันว่าห่วงอนาคต (ที่ไม่แน่นอนอยู่แล้ว) ของประเทศเรา เพราะผลกระทบระยะสั้นอาจผ่านพ้นไปได้ แต่ระยะยาว บรรดานักวิจัยก็ยังกังวลอยู่มาก
สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับคำศัพท์ใหม่ๆ ตรงนี้ขออธิบายคร่าวๆ ว่าสิทธิบัตรยาเป็นสิทธิ์ของบริษัทผู้วิจัยและผลิตยา เป็นเอกสิทธิ์ที่ประเทศนั้นๆ มอบให้กับบริษัทที่สร้างสรรค์ยาใหม่เป็นเวลาจำกัด (โดยมาก 15-20 ปี) โดยไม่อนุญาตให้บริษัทอื่นทำยาสามัญหรือยาเลียนแบบ (generic) ได้
ทีนี้ก็มีปัญหาว่าถ้าให้เอกสิทธิ์กับบริษัทยานานไปอาจเกิดผลเสียในบางกรณี เช่น ถ้าเกิด monopoly ของยานั้นขึ้นมา หรือว่ายาจำเป็นมากๆ แต่ราคาแพง (เพราะบริษัทยามีสิทธิ์ในการกำหนดราคายา) จะทำยังไง... คำตอบคือประเทศต่างๆ มีสิทธิ์ในการทำ compulsory licensing คือขอ"พักยก" สิทธิบัตรยาชั่วคราว ในกรณีที่จำเป็น เช่นเกิดโรคระบาด มีความจำเป็นสูงมาก เป็นต้น
ทีนี้ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ประกาศใช้ CL กับยาต้านเอดส์สองตัว และยาโรคหัวใจหนึ่งตัว เมื่อเดือนพฤศจิกายน และ มกราคมที่ผ่านมา ผลดีที่เกิดขึ้นคือราคายาลดลงและรายจ่ายของกระทรวงในการให้ยากลุ่มนี้แก่ผู้ป่วยก็ลดลง แต่ก็เกิดการประท้วงจากบริษัทยาใหญ่ โดยบริษัทที่ออกหน้ามากที่สุดคือแอบบ็อท ที่สุดท้ายได้ถอนยาจำเป็นหลายตัวออกจากตลาดประเทศไทย ผลกระทบทางอ้อมที่เกิดขึ้นคือสหรัฐอเมริกาได้ตัดสิทธิ GSP แก่สินค้าส่งออกสองสามอย่างจากไทย
ข้อดีข้อเสียของการทำ CL มีหลายประการ ต่างคนต่างคิดต่างความเห็น (สมควรหรือไม่สมควร)
"ไม่สมควร" ทำให้ภาพพจน์ประเทศเสียหาย (แค่มีปฎิวัติก็แย่แล้ว), ไม่เล่นเกมตามกติกา (ที่ตกลงไว้กับ WTO), ผลกระทบระยะยาวอาจมีมากกว่า (เช่นกรณีของการถูกตัดสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับสินค้าส่งออก, การลดลงของการลงทุนวิจัยระยะยาวจากต่างประเทศ), ความไม่พร้อมขององค์การเภสัชกรรมที่จะผลิตแม้กระทั่งส่วนผสมพื้นฐานของยาที่ถูกทำ CL (ยาพวกนี้ วัตถุดิบยังต้องนำเข้าจากอินเดีย)
"สมควร" ยาราคาแพงมากคนไข้ไม่ได้รับยาทั้งที่ยาถูกพิสูจน์่ว่าได้ผลปานกลางถึงดีในการรักษาเอดส์, ยาถูกลง, เป็นบทเรียนกับบริษัทยาว่าไม่ควรเห็นแก่กำไรมากเกินไปเพราะแต่ละประเทศก็มีสิทธิ์ตอบโต้, ประเทศเราเป็นประเทศเล็กๆ โดนถูกบีบอยู่ร่ำไป ยอมเขาอยู่เรื่อยไป ต้องมีจุดยืนบ้าง
อย่างไรก็ตามการตัดสินใจนี้ส่งผลกระทบไม่เฉพาะแก่ตัวผู้ป่วย, กระทรวงสาธารณสุข, หรือว่ารัฐบาล แต่กระทบกับคนทั้งประเทศ เรื่องสำคัญแบบนี้ก็ควรจะได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและไตร่ตรองก่อนจะทำ... ทำไปแล้วก็ย้อนกลับไม่ได้อีก... คราวนี้อยู่ที่ว่าจะเดินยังไงต่อไป?
No comments:
Post a Comment